docker-beginner-guide

มาหัดลองใช้งาน Docker กันเถอะ

Published on
6 mins read

คุณเคยเจอปัญหานี้หรือไม่ นำแอพพลิเคชั่นขึ้น Production Server มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วแอพพลิเคชั่นแต่ละตัวที่มีความต้องการ Environment ที่แตกต่างกันเข้ามาตีกันใน Environment อาจทำให้ Production Server พังถึงขั้นพิการได้ สมัยก่อนเราจัดการแก้ปัญหากันโดยใช้ Hypervisor ในการแยกแอพพลิเคชั่นออกจากกันผ่าน VM (Virtual Machine) แต่ถ้าหากมีอะไรที่ดีกว่านี้? ถ้าหากเราแยก Environment ออกจากกันโดยใช้ OS แค่ตัวเดียว?

Docker จึงได้ถือจุติขึ้น

VM vs. Docker

อธิบายให้ง่ายๆได้ว่าการสร้าง VM นั้นจะต้องมีการสร้าง Virtual Hardware ต่างๆไว้ใช้จำลองเช่น vDisk เป็นต้น และจะต้องลง OS ทุกครั้งต่อ 1 VM ซึ่ง...มันเปลืองพื้นที่!!! แต่เมื่อเทียบกับ Docker ก็คือแทนที่จะแยก Environment ด้วยการลงทีละ OS เราเปลี่ยนวิธีกลายเป็นว่าลง OS เดียวแต่สามารถแยก Environment หลายๆอันได้ นั่นเองงงงงงงงงงงงง

VM vs Docker

น่าสนใจชะมะ เรามาลองเล่นเลยดีกว่า

ติดตั้ง Docker

แน่นอนก่อนจะเริ่มได้ต้องติดตั้งก่อน เอาจริงๆเราสามารถติดตั้งตรงๆแบบ apt-get install docker หรือ yum install docker ไปเลยก็ได้ แต่คำตอบคือ ไม่แนะนำ เพราะที่ติดตั้งไปจะเป็น Docker รุ่นเก่าเรามันปวดหัวดังนั้น แนะนำให้ลง Docker CE (Community Edition) ดีกว่า

Ubuntu 16.04++

อัพเดตก่อน

$ apt-get update

คราวนี้เราจะติดตั้ง Docker CE ผ่าน repository บน HTTPS ดังนั้นเราจะลง package เพิ่มเติมที่ทำให้ apt ติดตั้งได้

$ apt-get install \
    apt-transport-https \
    ca-certificates \
    curl \
    software-properties-common

เสร็จแล้วก็เพิ่ม GPG Key ของ Docker

$ curl -fsSL https://download.docker.com/linux/ubuntu/gpg | apt-key add -

คราวนี้ก็สามารถเพิ่ม Repository ได้สักที

$ add-apt-repository \
   "deb [arch=amd64] https://download.docker.com/linux/ubuntu \
   $(lsb_release -cs) \
   stable"

อัพเดต Index สักนิด...

$ apt-get update

...แล้วติดตั้งเลย!!

$ apt-get install docker-ce

CentOS

อัพเดตก่อน

$ yum update

จากนั้นก็ติดตั้ง package พื้นฐานหลายๆอย่าง

$ yum install -y yum-utils \
    device-mapper-persistent-data \
    lvm2

yum-utils เราจะไว้ใช้คำสั่ง yum-config-manager เพื่อไว้ใช้จัดการ Repository

device-mapper-persistent-data และ lvm2 ไว้ใช้เป็น Storage Driver

มา! ต่ออย่างไวด้วยการเพิ่ม Repository

$ yum-config-manager \
    --add-repo \
    https://download.docker.com/linux/centos/docker-ce.repo

และติดตั้งเลย!!!

$ yum install docker-ce

ใช้งาน Docker

จะเห็นว่าใส่หัวเรื่องใหญ่กว่าอันอื่นเลย เพราะมันมีเรื่องต้องคุยเยอะ

เดี๋ยวเอาอะไรง่ายๆก่อนละกัน concept ของ Docker จะมีอยู่ 2 อย่างคือ Images กับ Container

Images คิดว่ามันเหมือน snapshot เอาไว้สร้าง Container โดยสามารถ build ทำเองได้ หรือไม่ก็หาโหลดมาจาก Docker Store

Cotainer เอันเนี่ยเป็นส่วนที่เราจะได้ใช้หลักๆเลย เราจินตนาการว่าคอมพิวเตอร์เราเป็นเรือบรรทุกสินค้า แล้วก็มี container โหลดขึ้นเรื่อมาเรื่อยๆ โดยใน container หนึ่งอันมี Application ของเรา 1 ตัวซึ่งไม่ไปยุ่งกับ container อื่นๆเลย

Pull images

ก็เรามาเริ่มต้นตั้งแต่ pull image เลยดีกว่าโดยเราจะ pull nginx:1.13.12 มาล่ะกัน

$ docker pull nginx:1.13.12

เวลาเราจะ pull images เราจะใช้คำสั่ง docker pull เพื่อดึง images ที่ชื่อว่า nginx แล้วไอที่อยู่หลัง : คืออะไร??

มันคือ tag ซึ่งเอาไว้ระบุหาเสป็ค เวอร์ชั่นที่ต้องการสำหรับการทำ Development อย่างถ้าเข้าไปดู nginx ใน Docker Store จะเห็นว่ามี supported tag อยู่เพียบ นั่นก็คือเราสามารถเรียกใชได้หลายๆเวอร์ชั่นนั่นเอง...

...แต่เดี๋ยวก่อน! มันด่าผมว่า

Warning: failed to get default registry endpoint from daemon (Cannot connect to the Docker daemon at unix:///var/run/docker.sock. Is the docker daemon running?). Using system default: https://index.docker.io/v1/
Cannot connect to the Docker daemon at unix:///var/run/docker.sock. Is the docker daemon running?

อ๋อจะบอกว่าลืมเปิด service 5555555

$ systemctl start docker
$ systemctl enable docker

หลัง pull เสร็จแล้วอยากดูใช่มั้ยล่ะว่ามี Images อะไรอยู่ในเครื่องบ้าง

$ docker images

มันก็จะตอบมาว่า

REPOSITORY            TAG                 IMAGE ID            CREATED             SIZE
nginx                1.13.12               ae513a47849c        2 weeks ago         79.6MB

เราก็จะได้ข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับ Images นั้นมา

เราก็สามารถลบ Images ได้ด้วยการใช้คำสั่งตามนี้ (ถ้าลองทำตามอยู่อย่าพึ่งลบนะเพราะจะเอาไปใช้ต่อ)

$ docker rmi nginx:1.13.12

หรือจะชี้เป็น Image ID ก็ได้

$ docker rmi ae513a47849c

จัดการ Container

เดี๋ยวอธิบายคำสั่งเป็นชุดๆเลย

$ docker create --name riffydaddyallhome \
                -p 8081:80 -p 1443:443 \
                -e RIFFYPASS=12345677 \
                -v /home/ray:/workspace \
                --restart=always \
                nginx:1.13.12

เริ่มสร้าง container ด้วยคำสั่ง docker create แล้วก็ใส่ option เสริมนิดหน่อย

--name ไว้ใช้ตั้งชื่อ container แนะนำให้ใส่เพราะเวลา start stop remove เราจะเรียกจากมัน โดยในตัวอย่างผมตั้งชื่อ container ว่า riffydaddyallhome

-p ไว้ใช้ในการ bind port จาก container สู่ host โดยวิธีใส่เลขจะเป็น portบนคอม:portบนcontainer อย่างในตัวอย่างจะเป็น 8081:80 แปลว่าให้ bind port 80 จาก container ไปยัง port 8081 ไปยัง host แล้วจะเห็นว่าสามารถ port ได้มากกว่า 1 อัน (-p 1443:433)

-e เอาไว้ตั้ง Environment Variable บน container ที่จะรันในตัวอย่างก็จะสร้าง Environment Variable ที่ชื่อว่า RIFFYPASS และใส่ค่า 12345677 ลงไป (เหมือนกับ -p สามารถใส่ได้มากกว่า 1 อันเหมือนกัน)

-v ชื่อว่า Volume ซึ่งจำเป็นสำหรับใครที่ทำงาน Project ใหญ่ๆ เพราะ container นั้นถูกจำกัดขนาดไว้ที่ 20GB โดย default จะแก้ด้วยการตั้งค่าใหม่ก็ได้ แต่อย่าเลย ดังนั้นเราก็สามารถเชื่อม Folder บน Host ขึ้นไปบน container ได้ทุกที่ๆกำหนดไว้ ซึ่งแปลว่าเวลาเราทำงานบน container แล้วเก็บไฟล์ไว้ที่ตำแหน่งที่เรา volume ไว้มันจะไปเก็บใน Host แทนแต่ก็ยังสามารถเข้าถึงได้ใน container ทำให้ไม่มีปัญหากับพื้นที่จำกัด 20 GB ซึ่งวิธีเชื่อมก็กำหนด folderของhost:folderของcontainer ในตัวอย่างจะเห็นว่าผมกรอก /home/ray:/workspace ซึ่งก็คือผมเชื่อม /home/ray บน host ไปยัง /workspace บน container แล้วทุกๆไฟล์ที่อยู่ใน /home/ray สามารถเข้าถึงได้โดยไปยัง /workspace บน container และในเวลาเดียวกันทุกๆไฟล์ /workspace บน container สามารถเข้าถึงได้โดยไปยัง /home/ray บน Host นั่นเอง (และ..เหมือนกับ -p และ -e)

--restart ไว้ใช้บอก container ว่ามันควรจะ restart หรือไม่ โดยมี option ให้เลือกอยู่ 4 แบบ

  • no บอกว่าเมื่อ container exit ตัวเองไม่ต้อง restart
  • on-failure:<จำนวน restart> สั่งให้ restart เมื่อไม่ได้ exit ด้วย code 0 และจำกัดจำนวนการลอง restart ไว้
  • always restart ไปแหล่ทุกกรณี ออก code 0 หรือไม่...ไม่แคร์ค่ะ!
  • unless-stopped เหมือนกับ always แต่ต่างที่มันจะไม่ start เองถ้า container อยู่ในสถานะ STOPPED ก่อนที่ Docker daemon จะหยุดตัวเอง

คราวนี้ container เราได้ถูกสร้างแล้ว ลองไปดูได้โดยใช้คำสั่ง

$ docker ps
CONTAINER ID        IMAGE                        COMMAND                  CREATED             STATUS              PORTS               NAMES

แต่เดี๋ยวก่อน! ไม่เห็นมีอะไรเลยหนิ...จะบอกว่า docker ps นั้นไว้ใช้ดู container จริง แต่จะเห็นเฉพาะที่เปิดอยู่ ต้องใส่ -a เข้าไปด้วย

$ docker ps -a
CONTAINER ID        IMAGE                        COMMAND                  CREATED             STATUS                     PORTS               NAMES
160087916fa3        nginx:1.13.12                 "nginx -g 'daemon of…"  3 seconds ago       Created                                        riffydaddyallhome

คราวนี้จะสั่ง start มันขึ้นมาล่ะ? ทำไง?... docker start ไง! โดยมีอยู่ 2 วิธี

  • จาก container ID
$ docker start 4a6296fb34ed
  • จาก container name
$ docker start riffydaddyallhome

คราวนี้ก็ลองดู container นี้อีกที

$ docker ps
CONTAINER ID        IMAGE                        COMMAND                  CREATED             STATUS              PORTS                  NAMES
160087916fa3        nginx                        "nginx -g 'daemon of…"   4 seconds ago       Up 3 seconds        0.0.0.0:8081->80/tcp   riffydaddyallhome

คราวนี้ลองเปิด Web Browser แล้วเข้าไปดู port ที่ bind ไว้สิ <HOST-IP>:8081

ทาดา~ มาแล้ว container แรก ทีนี้เราก็สามารถดู log ของ container นั้นได้ด้วย!?

$ docker logs riffydaddyallhome

แล้วคราวนี้เราก็จะมาลองเข้าไป execute command ข้างในกันโดยใช้คำสั่ง docker exec

$ docker exec -ti riffydaddyallhome bash

ในที่นี้ผมสั่งให้รันคำสั่ง bash ภายใน container ที่ชื่อว่า riffydaddyallhome คราวนี้ผมจะลองสร้างไฟล์ใน /workspace

# cd /workspace
# echo 'RIFFYDADDYALLHOME!!!' >text.txt
# exit

แล้วผมก็ลอง list ไฟล์ใน /home/ray

$ ls /home/ray
text.txt

หน่าาาาาา...แล้วถ้าจะปิดมัน? ลองเดาดู

$ docker stop riffydaddyallhome

และลบมันออกจากจักรวาล เพียงแค่เคาะ ENTER (ท่ดทีติด Infinity War)

$ docker rm riffydaddyallhome

สรุป

ยินดีด้วย! คุณได้พื้นฐานการใช้งาน Docker แล้ววว แต่มันยังไม่หมดหรอกมีพวก Dockerfile ไม่ก็ docker compose ที่ต้องศึกษาอีกเยอะ เดี๋ยวเอามาสอนต่อ แต่ก็หวังว่าจะได้ความรู้ไม่มากก็น้อย สวัสดีและลาก่อน